วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2551

หลวงปู่แหวน เล่าเรื่องเปรตริมฝั่งแม่น้ำโขง



เมื่อครั้งที่ หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ บวชได้ไม่กี่พรรษา และมีวาสนาถวายตัวเป็นศิษย์ของท่าน พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต
ท่านได้รับคำสั่งสอนแนะนำในข้อธรรมต่างๆ อย่างกระจ่างแจ้ง ทำการเจริญภาวนากระทำความเพียรก้าวหน้าไปอีกหลายระดับ เป็นกำลังใจให้เกิดความวิริยะมานะที่จะสะบั้นสายใยแห่งกิเลสจนกว่าจะหมดสิ้น ในภพชาตินี้ ขณะจำพรรษาอยธู่กับพระอาจารย์มั่นที่บ้านนาหมีนายูง อำเภอน้ำโสน อุดรธานี ท่านพระอาจารย์มั่นได้บอกเล่าให้ ฟังว่า ใกล้ฝั่งแม่น้ำโขงมีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่ง ที่ถ้ำนั้นมีเปรตตนหนึ่งสิงสู่อยู่ไม่ยอมไปไหน หากหลวงปู่แหวนไปบำเพ็ญเพียรที่ใดนั้นก็ให้ถามเปรตดูสิว่าชาติก่อนกระทำกรรม อะไรไว้ถึงได้มาเกิดเป็นเปรต การที่ท่านพระอาจารย์มั่น กล่าวเช่นนี้ อาจจะมีเจตนาต้องการให้ศิษย์ผู้อ่อนพรรษาได้เรียนรู้สภาวธรรมด้วยการสัมผัส ตามความเป็นจริงโดยตัวเองก็ได้ เมือหลวงปู่แหวนน้อมรับคำบอกเล่าเช่นนั้นท่านจึงเดินทางไปที่ถ้ำดังกล่าว เพียงรูปเดียว ณ. ที่ถ้ำนี้เป็นสถานที่ร่มรื่นสงบสงัด เหมาะสมที่จะเจริญภาวนาอย่างยิ่ง ภายในถ้ำสะอาดสะอ้าน ด้านนอกปากถ้ำเป็นพื้นที่ราบเรียบพอจะใช้เป็นทางเดินจงกรมได้ ครั้นถึงเวลาเย็น เมื่อทำวัตรสวดมนต์แล้วท่านก็เข้าที่ภาวนาภายในถ้ำ ได้รับผลตามประสงค์ไม่มีอุปสรรค ตราบทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น คืนแรกผ่านไปด้วยดี คืนที่สองไม่มีสิ่งผิดปกติ กระทั่งคืนทีสามรูปเงาของเปรตจึงเริ่มปรากฎ โดยแสดงกายมืดดำ และมีความสูงใหญ่ น่าพรั่นพรึง ยืนปักหลักขวางหน้าถ้ำ หลวงปู่แหวนเห็นเปรตแล้วก็มิได้หวาดหวั่นแต่ประการใด เพียงแต่แผ่เมตตาให้ด้วยจิตกุศลเต็มเปี่ยม ปรารถนาจะให้พลังแห่งความเมตตาผ่อนคลายความทุกข์ซึ่งสุมรุมเปรตตนดังกล่าว อยู่ จากนั้นก็กำหนดจิตถามเปรตไปว่า "ชาติก่อนเคยทำกรรมอะไรไว้ถึงได้มาเป็นเปรต" เปรตตนนั้นเงียบเฉยไม่ตอบ และอันตรธานหายไป หลายคืนต่อมาปรากฎว่าเปรตตนเดิมาแสดงร่างร้ายให้หลวงปู่แหวนเห็นทุกคืนใน ลักษณะคืนแรก คือมายืนตระหง่านเงียบงันด้วยร่างอันสูงใหญ่ทะมึนดำ ประหนึ่งต้องการข่มขวัญให้พระธุดงค์กรรมฐานเกิดความหวาดกลัว ทว่าหลวงปู่แหวนมีจิตที่มั่นคงแน่วแน่อยู่ในธรรม ฉะนั้นท่านจึงตัดขาดไปจากความพรั่นพรึงทั้งปวงหมดสิ้น ........กระทั่งคืนหนึ่งเปรตมาปรากฎร่างให้หลวงปู่แหวนเห็นอีก เมื่อท่านแผ่เมตตาให้แล้ว กำหนดจิตสอบถามเช่นครั้งก่อนๆ คราวนี้เปรตยอมพูดติดต่อด้วย โดยเล่าให้หลวงปู่แหวนฟังว่า ชาติ ก่อนเมื่อเป็นมนุษย์เพศชายตนเป็นนักเลงไก่ชน ลุ่มหลงในการชนไก่ ซึ่งมีเดิมพันมาใช้จ่ายอย่างสำราญ คราวใดไก่ชนของตนพ่ายแพ้เสียเงินเดิมพันไปตนก็จะถูกโทสะครอบงำจัดการฆ่าไก่ ตัวที่ชนแพ้ และหากไก่ชนตัวใดสู้จนได้รับบาเจ็บหนัก หรือพิการ ตนก็จะฆ่าเอมากินหมดเช่นกัน ได้กระทำกรรมชั่วนี้เป็นอาจิณตั้งแต่หนุ่มยันแก่ ครั้นอายุมากก็ล้มป่วย มีอาการเจ็บปวดแสนสาหัสจนสิ้นใจตาย ตายแล้วยังต้องไปรับกรรมในนรกเป็นเวลานานจนประมาณมิได้ ครั้นพ้นจากนรกจึงมาผุดเป็นเปรต หลวงปู่แหวนจึงถามว่า "เหตุใดไม่ไปผุดไปเกิดเสียที ทำไมต้องมาเป็นเปรตเฝ้าถ้ำ เฝ้าป่า ให้ลำบากทุกข์ยากเช่นนี้" เปรตตอบว่า เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะยังห่วงเรื่องอาหารที่ได้เสพ เนื่องจากชาวบ้านที่อยู่ย่านนี้ นำหมูเห็ดเป็ดไก่ มาเซ่นสังเวยทุกครั้งที่เข้ามาตัดไม้และหาของป่า หากไปอยู่ที่อื่นกลัวจะอดอยาก เปรตยังเล่าต่อว่า หากชาวบ้านไม่เซ่นสังเวย ตนก็จะกระทำให้เจ็บไข้ได้ป่วย ชาวบ้านจึงกลัวตนมาก หลวงปู่แหวนได้เทศนาชี้ทางให้เปรตผละจากที่อยู่อาศัยนี้ไปเสียเถิด เพราะถ้าจิตหลุดจากความยึดมั่นถือมั่นได้เมื่อใด ตนเองก็จะมีโอกาสไปเกิดใหม่ตามกระแสกรรมของตน มิเช่นนั้นก็ต้องจ่อมจมอยู่ก้บถ้ำแห่งนี้ เพราะความยึดมั่นยึดเหนี่ยวฉุดรั้งไว้ และถ้าสิงอยู่ถ้ำแห่งนี้ด้วยความหวงแหนสถานที่คอยหวาดระแวงว่าจะมีผู้อื่นมา แย่งถ้ำนี้ไปเปรตย่อมแสดงตัวให้ผู้พบเห็นหวาดกลัวเพื่อให้หนีไปเสีย หากมีพระธุดงค์รูปอื่นจาริกผ่านมา เปรตแสดงตัวเจตนาขับไล่เช่นที่เคยทำมา พระธุดงค์มีจิตเข้มแข็ง และมีสติมั่นคงย่อมไม่เกิดผลร้ายอะไร แต่หากพระธุดงค์จิตไม่แก่กล้า หวาดกลัวจนไร้สติ ย่อมเป็นผลให้เสียจริต หรืออาจถึงมรณภาพ บาปเวรก็จะตกแก่เปรต กลายเป็นอกุศลกรรมถมทับซับซ้อนจนไม่อาจพบกับทางสว่างได้อีก เปรตรับฟังด้วยความสงบ แต่ยังไม่สามารภกระทำตามคำเทศนาของหลวงปู่แหวนได้ ท่านเห็นว่าเปรตยังมีมิจฉาทิฐิมั่นคงท่านก็ต้องวางตนอยู่ในอุเบกขา เมื่อเจริญภาวนาครบกำหนดตามที่ได้กำหนดเจตนาเอาไว้แล้ว หลวงปู่แหวนจึงจาริกลับมากราบเรียนถวายรายงานต่อท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ณ บ้านนาหมีนายูง ซึ่งท่านพระอาจารย์มั่น ก็ไม่ได้กล่าวว่ากะไร ภายหลังเมื่อพระอาจารย์มั่นมีโอกาสผ่านได้เมตตาโปรดเปรตตนนั้น และเปรตตนนั้นก็หลุดพ้นไปจากถ้ำได้ในที่สุด

วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2551

ผวาบ้านอบต."ผีสิง" ปีศาจสาวสไบเฉียง

ชาวบ้านผวาหนัก บ้านผีสิงที่อ่างทอง เฮี้ยนจัดถึงขนาดหลอกคนเข้าอยู่ 2 ราย จนเผ่นหนีออกมาแทบไม่ทัน

ทั้งที่ เป็นบ้านใหม่เพิ่งสร้างเสร็จโดยอบต. เพื่อเป็นบ้านพักขอ
งผู้ด้อยโอกาส เหยื่อ 2 รายยืนยันแรงจริง รายแรกทนอยู่ 2 คืนก็ขอลา ยอมหนีไปปลูกกระต๊อบอยู่แทน รายที่ 2 ประกาศลั่นเคยเจอผีกับตามาแล้วไม่รู้สึกกลัว แต่อยู่คนเดียวก็เผ่นตามอีกคน ผู้ใหญ่บ้านแฉมีคนเคยเห็นผีเจ้าที่ในบ้านนั้นหลายคน เป็นผีสาวสวยห่มสไบเฉียง

เมื่อวันที่ 8 ส.ค. ผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังบ้านพักผู้ด้อยโอกาส ในวัดยางมณี หมู่ 7 ต.องครักษ์ อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง


หลังจากมีชาวบ้านเล่าลือว่าบ้านดังกล่าวมีผีสิงอยู่ ไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าไปพักอาศัย โดยเคยสำแดงอิทธิฤทธิ์หลอกหลอนชาวบ้าน 2 รายจนเผ่นกระเจิง เหตุการณ์ขนหัวลุกดังกล่าวสร้างความหวาดผวาแก่ชาวบ้านเป็นอย่างยิ่ง จนไม่มีใครกล้าลองดีท้าทาย เมื่อไปถึงพบว่าบ้านผีสิงดังกล่าวเป็นบ้านตามโครงการบ้านท้องถ
ิ่นไทย เทิดไท้องค์ราชัน 5 ธันวาคม 2550 เลขที่ 980/1 เป็นบ้านปูนชั้นเดียว ขนาดกว้าง 8 เมตร ยาว 8 เมตร มีไฟฟ้า น้ำประปา แต่ไม่มีรั้ว ปลูกอยู่ริมถนนคอนกรีตท้ายวัดติดกับโรงเรียนวัดยางมณี รอบๆ บ้านมีก้านธูปปักอยู่จำนวนมาก พบเครื่องเซ่นสังเวยและผลไม้ โดยเฉพาะมะพร้าวน้ำหอม ส่วนภายในบ้านมีเครื่องเซ่นสังเวย กระจก แป้ง น้ำหอมและหวีวางอยู่

นายสุพจน์ ผมทอง นายกองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.)องครักษ์ เปิดเผยว่า อบต.ได้จัดสรรงบประมาณ 98,000 บาท

ก่อสร้างบ้านหลังดังกล่าวเพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้า
อยู่หัว โดยขออนุญาตเจ้าอาวาสวัดใช้ที่ดินสร้างให้ผู้ยากไร้ เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จได้ส่งมอบบ้านให้นางเสนาะ ผ่องโอภาส อายุ 78 ปี พร้อมหลานอีก 2 คนเข้าพักอาศัย แต่ปรากฏว่าอยู่ได้เพียง 2 คืนก็ต้องขนสิ่งของออกไปอยู่ที่อื่น โดยเล่าให้ฟังว่าถูกผีผู้หญิงรังควานหลอกหลอนจนนอนไม่ได้ ทำให้สุขภาพจิตเสีย


นายกอบต.องครักษ์ยังกล่าวว่า เมื่อข่าวดังกล่าวสะพัดออกไป จึงมีนายขวัญพงษ์ วงศ์ดิษฐ์ อายุ 61 ปี ชาวบ้านที่ไม่กลัวผี อาสาเข้าไปนอนเพื่อท้าพิสูจน์

ปรากฏว่าเพียงคืนเดียวก็ถูกเล่นงานย่ำแย่ ทั้งถูกดึงขา มีของหนักทับหน้าอก บีบคอหายใจไม่ออก จนต้องเผ่นกระเจิง โดยบอกว่าผีผู้หญิงดังกล่าวรู้สึกโกรธที่ไปรุกที่ของเขา และยังเดินข้ามหัวเขาทุกวัน เนื่องจากเขาอยู่ตรงประตูทางเข้าพอดี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นชาวบ้านรู้สึกหวาดผวา ไม่กล้าผ่านบ้านหลังดังกล่าวในยามค่ำคืน

นายสมพร อมิธิดา ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 7 ต.องครักษ์ กล่าวว่า ลูกบ้านและครูในโรงเรียนเห็นสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นบ่อยในบ้านหลังดังกล่าว

เช่น มีแสงคล้ายเศษแก้วลอยขึ้นจากหลังคาบ้าน มีเสียงคล้ายคนเดินอยู่ในบ้านจนขนลุกไปตามๆ กัน เนื่องจากบริเวณดังกล่าวสมัยก่อนเป็นป่าช้าและมีเชิงตะกอนเผาศพ ส่วนผีหญิงสาวชาวบ้านเล่าว่ามีรูปร่างหน้าตาสวยงาม เสื้อผ้าอาภรณ์ก็สวยงาม นุ่งโจงกระเบน สวมผ้าสไบเฉียง ซึ่งคงต้องทำพิธีกรรมขอขมาหรือตั้งศาลให้ อาจแก้ปัญหาได้

จากการสอบถามเรื่องราวจากนายขวัญพงษ์ ชาวบ้านที่กล้าลองของ จนเผ่นออกมาแทบไม่ทัน เปิดเผยว่า ตนเป็นคนไม่กลัวภูตผีปีศาจ

ที่พูดเช่นนี้ไม่ใช่ว่ามีวิชาอาคมแต่อย่างใด และรู้ว่าภูตผีและวิญญาณมีอยู่ในโลกนี้จริง เนื่องจากเคยเห็นผีมากับตา โดยก่อนหน้านี้ ตนพักอาศัยอยู่ที่จ.ชัยนาท ถูกเพื่อนสบประมาทว่าถ้าไม่กลัวผีจริง ต้องพิสูจน์โดยการไปนอนในป่าช้าที่เล่าลือกันว่าผีดุ โดยไม่มีเครื่องรางของขลังใด เมื่อถูกท้าทายก็เข้าไปนอน จนกระทั่งเวลาดึกสงัดได้ตกใจตื่น ลุกขึ้นนั่งมองไปเห็นผี 4 ตัวอยู่ข้างๆ แต่ตนไม่สนใจ ผีเหล่านั้นจึงล้มตัวนอนร่วมกับตนอย่างสันติ ไม่หลอกหลอนแต่อย่างใด นอกจากนี้ป่าช้าและสุสานต่างๆ ไปนอนมาแล้วหลายแห่ง

นายขวัญพงษ์กล่าวว่า เมื่อกลับมาอยู่ที่ต.องครักษ์ อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง ได้พักอาศัยอยู่ที่บ้านพักครู ติดกับบ้านผีสิงหลังดังกล่าว

ขณะนั้นนางเสนาะพักอาศัยอยู่ได้เพียง 2 คืน ได้ไปบอกกับผู้ใหญ่บ้านและนายกอบต.ว่า บ้านหลังดังกล่าวมีผีสิงเฮี้ยนมาก หลอกหลอนจนนอนไม่ได้ จึงขอย้ายออก เมื่อตนทราบข่าว จึงได้ขอเข้าไปพักอาศัย แต่ปรากฏว่าถูกเล่นงานย่ำแย่นอนหลับตาไม่ได้เลย ถูกแกล้ง ถูกอำสารพัด หนีออกมาแทบไม่ทัน ไม่งั้นคงกลายเป็นศพเพราะขาดอากาศหายใจ เจอมากับตัวเองเช่นนี้รู้สึกหวาดผวาเช่นกันและคงไม่กล้าเข้าไปนอนในบ้านหลังดังกล่าว เพราะมีอิทธิฤทธิ์แรงและไม่เห็นเค้าร่าง

ส่วนนางเสนาะ ผ่องโอภาส เหยื่อบ้านผีดุรายแรก ที่ขณะนี้ต้องหนีไปสร้างกระต๊อบพักอาศัยอยู่ริมถนนสายโพธิ์ทอง-ท่าช้าง รอยต่อระหว่าง จ.อ่างทอง และจ.สิงห์บุรี กล่าวว่า คืนวันแรกที่เข้าไปอยู่ สังเกตว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นหลายอย่าง

ก็ปลอบใจตัวเองว่าเราอายุมากและแปลกที่อยู่อาจทำให้ประสาทหลอนได้ จนทำให้นอนไม่หลับ แต่คืนที่สองเหตุการณ์เลวร้ายลงกว่าเดิม เหตุการณ์พิศวงหลอกหลอนเกิดขึ้นหลายอย่าง โดยไม่รู้ตัวผู้กระทำ จึงเชื่อว่าบ้านหลังนี้เป็นที่ร้อน มีภูตผีและวิญญาณสิงสถิตดูแลด้วยความหวงแหน จึงขอย้ายออกมา

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2551

พระกับวิญญาณสึนามิ ตอน... ห่วงของพ่อ


"ผมไม่นึกเลยว่าเมื่อ 10 วันก่อน พ่อจะมีความสุขเดินยิ้มแย้มแจ่มใสทักทายคนไปทั้งงาน เนื่องในงานบวชผมซึ่งเป็นลูกชายคนเเรก พ่อสุขใจและปลื้มใจมากที่ได้เห็นชายผ้าเหลืองของลูกชายที่พ่อรัก แต่ถัดมาอีกไม่กี่วัน เรื่องดีๆที่ยังไม่ทันจางหาย กลับกลายเป็นเรื่องร้ายที่ไม่เคยมีใครนึกมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นในเมืองไทย

คลื่นร้ายพรากพ่อผมไป เมื่อผมบวชได้เพียงอาทิตย์กว่าๆ พระบวชใหม่อย่างผม มีกิจนิมนต์ไปในงานมงคลหลายครั้ง แต่ครั้งนี้ ผมแทบทำใจไม่ได้ เมื่อกิจนิมนต์ในคืนนี้คือการมาสวดศพพ่อผมเอง"

"ท่านทำใจเถอะครับ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องที่เรารทุกคนไม่มีทางหลุดพ้น" ผมปลอบใจ พระใจยุทธ พระบวชใหม่ขณะที่นั่งรถกลับมาจากสวดศพโยมพ่อของเขาที่บ้านบางสัก เพื่อที่จะกลับมาจำวัดที่วัดบางเนียง

คืนนี้ หลวงลุงนนท์เจ้าอาวาส และพระลูกวัดบางเนียงอีก 4 รูป ถูกนิมนต์ให้มาสวดศพโยมพ่อของพระใจยุทธ พระใจยุทธบวชและจำวัดราษฎร์นิรมิตหรือวัดบางม่วง โดยมีโปรแกรมบวชเพียง 20 วัน เพราะต้องกลับไปศึกษาต่อเทอมสุดท้าย ที่วิทยาลัยประมงแถบจังหวัดสงขลา แต่พอเวลาผ่านไปไม่กี่วัน ได้เกิดคลื่นยักษ์ซัดเข้าทำลายหมู่บ้านน้ำเค็มที่พ่อเขาประกอบอาชีพประมงอยุ่ แม่คว้ามือน้องชายกับน้องสาววิ่งหนีขึ้นรถสองแถวได้ทันขณะที่พ่อเดินไปทำธุระ
ที่แพปลาพอดี ชะตากรรมของพ่อจึงหนีไม่พ้นไปจากความตาย!!



หลังจากเกิดเหตุไม่กี่วัน ศพจำนวนมากถูกเก็บลำเลียงมาไว้ที่วัดย่านยาว และอีกจำนวนหนึ่งไว้ที่วัดบางม่วง พระใจยุทธทนกับกลิ่นเหม็นไม่ไหวจึงขอย้ายมาจำวัดที่วัดบางเนียง ซึ่งหลวงลุงนนท์เจ้าอาวาส ญาติห่างๆ ของแม่จำวัดอยู่ที่นี่
ผม(ผู้เขียน) ไป-มา วัดบางเนียงบ่อยเลยได้รู้ความเป็นมาของพระใจยุทธ
ท่านเล่าให้ผมฟังว่า ศพของพ่อ กว่าจะได้พบก็หากันอยู่หลายวัน แม่และญาติๆ
ช่วยกันตามหา เขาเองก็เดินทางไปตามหาทั้งที่วัดย่านยาว และวัดบางม่วง ผ่านไป 1 อาทิตย์ก็ยังไม่พบศพ แม่จุดธูปบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่แม่เคารพนับถือ บอกให้เจอพ่อด้วยเถิด แต่สุดท้าย คนที่เป้นสาเหตุที่ทำให้ได้เจอศพพ่อ คือตัวเขาเอง เจอเพราะพ่อเป็นห่วง มาหาเขาในความฝัน

"ยุทธ นี่พ่อเองนะลูก ตื่นเถอะ ตื่นมาฟังพ่อ พ่อมีเรื่องจะสั่งเสียลูก"

"พ่อ!!"

พระใจยุทธเรียกพ่อเสียงดัง ในความฝันนั้น เขาพยายามจะลุกขึ้นมาจับต้องตัวพ่อที่ยืนอยู่ปลายเท้า แต่ลุกขึ้นไม่ได้ ตัวพ่อเขาเปียกน้ำ ทั้งเสื้อและกางเกงที่สวมอยุ่มีร่องรอยขาดวิ่นอยุ่หลายแห่ง เปื้อนดินโคลนเป็นด่างดวง
บนหัวของพ่อ มีเศษหญ้าหลายชิ้นติดอยู่

"พ่อ พ่อเป็นยังไงครับ พ่อรุ้ไหมว่าแม่และพวกเราเป็นห่วงพ่อมาก ตามหาพ่อมาหลายวันแล้ว นี่พ่อยังไม่ตายใช่ไหมครับ ผมดีใจจริงๆที่พ่อยังไม่ตาย"

"ใครบอก พ่อตายแล้วลูก พ่อไปสบายแล้ว เพื่อนพ่อหลายคน ก็มาเสียชีวิตพร้อมกัน วันนั้นพ่อขึ้นมาจากเรือ กลับมาอาบน้ำเตรียมตัวจะกินข้าวอยู่แล้ว แต่พ่อมานึกได้ว่าพ่อลืมถึงใบจากกับยาเส้นไว้ในเรือ บอกแม่ว่าเดี๋ยวพ่อจะไปธุระที่แพสักครู่ แล้วเดี๋ยวจะกลับมากินข้าว"

"มาที่เรืออีกครั้งก็ต้องตกใจ ที่อยู่ๆเรือที่จอดทอดสมออยุ่ที่ท่า กลับตั้งนิ่งสนิทอยู่บนพื้อนทราย เบื้องหน้าที่น้ำทะเลแห้งลงไปอย่างฉับพลัน
ผู้คนจำนวนมากที่แพปลาส่งเสียงเอะอะมะเทิ่ง ให้มาดูสิ่งแปลกประหลาดที่ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครพบเห็นว่าทำไมอยู่ๆ น้ำทะเลถึงได้แห้งลงไปมากมายถึงเพียงนี้ ไม่ทันที่คนแถบนั้นจะได้พูดอะไรต่อ อยู่ๆ คลื่นลูกหึมาก็ซัดเข้าฝั่ง กวาดผู้คนแถวแพปลาหายไปในพริบตา รวมทั้งพ่อด้วย

แม่กับน้องทั้งสองปลอดภัย พ่อดีใจ ส่วนพ่อ ช่างมันเถอะลูก พ่อมีความภูมิใจอีกอย่างคือ พ่อได้จัดงานบวชให้ลูก ได้เห็นชายผ้าเหลืองของลูกก่อนที่พ่อจะตาย แค่นี้พ่อก็เป็นสุขแล้ว บ้านที่น้ำเค้มของเราพังหมดใช่ไหมลูก ช่างมันเถอะ พังก็สร้างใหม่ได้ ตอนนี้แม่กับน้องก็กลับไปอยุ่บ้านเดิมที่บ้านบางสักก่อน"
"แล้วพ่อ ตอนนี้พ่ออยู่ไหนล่ะครับ"

พระใจยุทธถามพ่อเสียงสั่นเครือ น้ำตาคลอเมื่อเห็นสภาพของพ่อในความฝันนั้น

"ลูกจำป่าสาคูชายคลองที่หาดแหลมป้อมที่พ่อเคยพาลูกไปตกปูสมัยลูกเป็นเด็ก

ลูกจำได้ไหม พ่ออยุ่ที่นั่นแหละ คลื่นพาพ่อออกมาไกลมากถึงที่นั่น ศพพ่อติดอยู่ที่ซอกต้นสาคู

เรือลำใหม่ของพ่อก็ถูกน้ำพัดมาเสียบในป่าสาคูไม่ห่างจากศพของพ่อมากนัก ยังดีที่เรือพ่อไม่เสียหายมากนัก ลูกไปบอกน้าเกรียง น้องชายของแม่ให้พาคนไปกู้เรือออกมานะ เรือยังใช้การได้ดีอยู่ ส่วนเครื่องเรือบางอย่างที่พ่อเพิ่งซื้อมาใหม่ พร้อมกับเครื่องมือหาปลาในถุงปุ๋ยน้ำได้ซัดไปกองอยู่ใต้ถุนข้างขุมเหมืองบ้าน

ป้าแล่ม บอกแม่ บอกน้าเกรียงให้ไปงมขึ้นมานะลูก

แต่...อาจจะไม่ต้องงมก็ได้ เพราะอีกไม่กี่วันทางการเขาคงส่งเครื่องสูบน้ำมาสูบน้ำออก เพราะภายใต้ขุมเหมืองนั่น ยังมีชาวน้ำเค็มเพื่อนพ่อติดอยู่ก้นขุมอีกมากมาย สึกจากพระแล้ว กลับไปตั้งใจเรียนนะลูก เพราะเป็นเทอมสุดท้ายแล้ว แล้วก็อย่าทิ้งแม่ทิ้งน้อง ช่วยส่งเสียน้องแทนพ่อด้วย ส่วนลูกถ้าเรียนจบ พ่ออยากให้กลับทำอาชีพประมงอย่างพ่อ ใช้วิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมา กลับมาพัฒนาปรับปรุงวิชาชีพเดิมที่พ่อทำอยู่อาจจะไม่ต้องทำเอง มาเป็นพ่อค้าคนกลาง เป็นนักวางแผน ตาที่ลูกศึกษามา อย่างไรเสีย ก็มาสืบทอดกิจการของพ่อ ดีกว่าไปเป็นลูกจ้างเขานะลูก" พ่อกำชับกำชาอีกครั้ง

"ครับพ่อ ผมจะทำตามที่พ่อสั่ง พ่อหลับให้สบายเถิด อย่าได้ห่วงอะไรอีกเลย"
"ถ้างั้น พ่อก็ขอลา พ่อไปละนะ"

"แล้วร่างของพ่อผมก็ค่อยๆ จางหายไป พร้อมกับที่ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความฝัน"

พระใจยุทธสรุปความฝันให้ผมฟังก่อนจะพูดต่อว่า

"วันรุ่งขึ้น หลังจากฉันเช้าเสร็จ ผมก็ให้คนขับรถของวัดขับรถมาส่งผมที่บ้านโยมแม่ที่บ้านบางสัก โยมแม่ที่บ้านบางสักโดยแม่แต่งตัวเรียบร้อยเตรียมตัวจะไปตามหาโยมพ่อ กับเพื่อนบ้านอีกหลายคนที่จะไปติดตามหาญาติพี่น้องเขาด้วย ผมเล่าความฝันให้โยมแม่ฟัง โยมแม่รีบโทรศัพท์ไปหาน้าเกรียงที่บ้านในตลาดย่านยาวทันที น้าเกรียงกับภรรยาและลูกๆ รีบขับรถมาสมทบโดยนัดพบกันที่สะพานปลา บ้านน้ำเค็ม ซึ่งขณะนั้นอะไรๆ ยังไม่ลงตัว อยุ่ในสภาพยับเยิน มองไปทางไหนก้มีแต่ซากปรักหักพังของบ้านเรือน เศษซากเรือ ซากรถ ต้นไม้หักโค่นระเกะระกะ ผมถูกนิมนต์ให้ไปอยู่ที่บ้านญาติของโยมแม่คนหนึ่ง ซึ่งสภาพบ้านไม่เสียหายมากนัก เพราะอยู่ห่างจากฝั่งออกมาหลายร้อยเมตร ขณะที่แม่กับน้องเอาแต่ร้องไห้ จะติดตามน้าเกรียงและเพื่อนบ้านอีกหลายคนออกไปหาศพพ่อตามความฝัน

ของผมด้วย แต่ญาติหลายคนพากันคัดค้านช่วยกันดึงแขนแม่ไว้ กลัวว่าถ้าไปสภาพศพของพ่อในตอนนั้นแล้วแม่จะทำใจไม่ได้ ส่วนผมอยากไปด้วยใจจะขาด แต่เพื่อนฝูงนับ 10 คนไม่เห็นด้วยบอกให้ผมอยู่เป็นเพื่อนแม่ ผมบอกเล่ารายละเอียดกับน้าเกรียงว่าศพของพ่อติดอยู่ตรงนั้นนะ เรือของพ่อก็อยู่แถวๆนั้น น้าเกรียงบอกไม่ต้องเป็นห่วง เพราะแถวนั้นหลับตาน้าเกรียงยังเดินไปถึงเลย และสุดท้ายครอบครัวของเราก็ได้ศพพ่อมาบำเพ็ญกุศลจริงๆ ตามที่ฝัน เรือของพ่อก็พบไม่ไกลจากร่างไร้ลมหายใจของพ่อ เครื่องเรือที่เพิ่งซื้อมา และเครื่องมือหาปลาของพ่อ ก็ค้นพบใต้ถุนบ้านป้าแล่มจริงๆ

เสร็จจากปลงศพพ่อ พระใจยุทธตัดสินใจครองผ้าเหลืองต่อจนครบ 1 เดือน หลังจากนั้นก็ลาสิกขาออกมาวางแผนการทำงานกับน้าเกรียงน้องของแม่ เรือลำเก่าอีกลำที่พังไปก็ได้รับการชดใช้จากหลายๆหน่วยงานที่ร่วมใจกัน
มาช่วยเหลือต่อเรือ และสร้างบ้านพักถาวรให้ ปัจจุบันนี้ อดีตพระใจยุทธ เรียนจบชั้นปริญญาตรี กลับมาแต่งงาน มีครอบครัว และมีลูกชายที่น่ารัก 1 คน และเริ่มมีกิจการเป็นของตัวเอง เปิดร้านขายอุปกรณ์ เครื่องมือทำการประมงแทบทุกชนิดในบ้านน้ำเค็ม ราศีเถ้าแก่เริ่มจับ

เขาเล่าให้ผมฟังว่า ตอนที่เขาแต่งงาน คืนนั้น พ่อมาหาเขาอีกครั้ง ในความฝัน พ่ออวยพรให้เขากับคู่สมรสอยู่เย็นเป็นสุข พ่อแต่งตัวด้วยชุดไทยหล่อมาก
"พ่อหมดห่วงแล้ว ดีใจที่ลูกประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและไม่ลืมที่พ่อสั่งไว้คือดูแลแม่ และส่งเสียน้องๆเรียน ลูกเป็นคนดี สะไภ้ของพ่อ พ่อดูแล้วเธอเป็นคนดีแน่นอน อยู่กันดีๆนะลูก มีอะไรรอมชอมกัน อย่าทะเลาะกัน ผัวเมียกันก็เหมือนลิ้นกับฟัน ย่อมมีกระทบกระทั่งกันบ้าง ถ้าเขาร้อนมา เราก็เย็นไป ต้องอดทน เหมือนพ่อกับแม่มีลูกตั้งสามคน

พ่อจำได้ว่าตั้งแต่อยู่กินกันมาไม่เคยทะเลาะกับแม่สักครั้ง พ่อลานะลูก แล้วถ้าเกิดภายภาคหน้า ลูกเห็นอะไรแปลกๆก็อย่าตกใจไปละ" พ่อของใขยุทธทิ้งท้ายด้วยวาจาแปลกๆก่อนจากไป เมื่อไม่นานนี้ผมไปเที่ยวบ้านน้ำเค็มอีกครั้ง เข้าไปเยี่ยมเขา เขาอุ้มลูกชายอายุย่าง 2 ขวบ ในวัยน่ารัก กับชี้ให้ผมดูรูปพ่อของเขาที่ไม่ใส่เสื้อยืนถ่ายกับเรือคู่ชีพที่แพปลาบ้านน้ำเค็ม เปลือยร่างท่อนบนเห็นกล้ามเป็นมัดๆ

"พี่เทพดูที่ราวนมขวาของลูกชายผมสิ แล้วก็ดูที่ราวนมขวารูปของพ่อผมด้วย พี่เห็นอะไรไหม"

"ปานแดงอยู่ตำแหน่งเดียวกันเลย"
ผมเอ่ยสั้นๆ มือลูบไล้ปานแดงที่ราวนมขวาลูกชายเขา ขณะที่สายตาเพ่งมองรูปถ่ายบนฝาผนัง แล้วผมก็คิดอะไรไม่ออกอีก พูดอะไรก็ไม่ออก หรือว่า...
งั้นก็อย่าคิดเลย ให้คุณผู้อ่านช่วยผมคิดต่อด้วยเถอะ

รอดตายเพราะ...พุทโธ พุทโธ...



ผู้มีตนฝึกดีแล้วย่อมได้ที่พึ่ง ซึ่งได้ยาก


นี้เป็นพระพุทธภาษิต พระพุทโธเป็นหนึ่งในที่พึ่งที่ได้ยาก สำหรับผู้ฝึกตนให้ดี ด้วยวิธีง่ายๆ ก็คือฝึกตน ให้คิดดีพูดดีทำดี ให้เป็นคุณลักษณะของตน ที่สูงที่สะอาดควรแก่การจะอัญเชิญพระพุทโธเป็นที่พึ่ง ที่หาได้ยาก

เรื่องอานุภาพใหญ่ยิ่งจริงแท้ของพระพุทโธนี้เคยนำลงใน “แสงส่องใจ” นานมาแล้วครั้งหนึ่ง จะขอนำมาเล่าอีกสักครั้ง

คือเมื่อเป็นสิบยี่สิบปีมาแล้ว ญาติโยมผู้หนึ่งเล่าให้ได้ยินได้ฟังกันหลายคนว่า เธอมีบุญมากที่มีพระพุทโธเป็นที่พึ่งที่แท้จริงตลอดมา ตั้งแต่ยังเป็นเด็กเลยที่เดียว คือวันหนึ่งลงว่ายน้ำในคลองใหญ่ ซึ่งสมัยก่อนคลองมีในบ้านเมืองไทยเรามาก

เธอเล่าว่าขณะที่กำลังสนุกสนานกับการเล่นน้ำกัน ก็รู้สึกว่ามีมือจับขาเธอดึงจนจมลงใต้น้ำ อย่างที่ไม่มีทางดิ้นรนให้พ้นมือร้ายนั้นได้ เธอรู้สึกในขณะนั้นว่า กำลังจะจมน้ำตายโดยที่ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครมาช่วยได้แน่

แล้วความมีบุญที่คุ้นเคยกับความเป็นเด็กอยู่ในแวดวงของผู้นับถือพระพุทธศาสนา ก็ทำให้เธอนึกขึ้นได้ว่า เมื่อมีผู้ใกล้จะสิ้นใจตาย จะมีการบอกทางแก่ผู้นั้นว่า ให้ท่องพระพุทโธไว้ และบางคนก็ได้รับการบอกทางว่าพระพุทโธ พระพุทโธ จนสิ้นใจ

ความคิดนี้เกิดขึ้นในใจเธอในขณะที่รู้สึกว่ากำลังต้องตายแน่แล้ว เด็กหญิงผู้นั้นก็ได้พึ่งพระพุทโธเต็มที่ เรียกว่าพระพุทโธช่วยเธอทั้งชีวิตก็ไม่ผิด เพราะเธอรอดชีวิตด้วยนึกถึงคำสอนที่เคยได้ยินคำบอกเล่าดังกล่าว คือท่องพระพุทโธเมื่อชีวิตใกล้แตกดับ

เธอแน่ใจแล้วว่า ชีวิตกำลังออกจากร่าง เธอกำลังจะจมน้ำตาย ความมีบุญยิ่งใหญ่แน่นอนที่ทำให้เธอท่องพระพุทโธทันที แม้จะไม่เป็นเสียงดังออกมา เพราะกำลังจมดิ่งลงในน้ำด้วยแรงฉุดของมือที่เด็กหญิงไม่รู้ว่าเป็นมือใครและมาแต่ไหน ปุบปับก็มาจับขาเธอดึงดิ่งลงใต้น้ำ อย่างไม่เวทนาปราณีแม้สักน้อย

เธอเล่าอย่างปิติโสมนัสอย่างยิ่ง ว่าพอพระพุทโธกึกก้องขึ้นในใจเธอเท่านั้น มือพิฆาตก็ปล่อยเธอให้เป็นอิสระทันที ได้โผล่ขึ้นพ้นน้ำ รอดตายยิ่งกว่าปาฏิหาริย์ ชีวิตของญาติโยมผู้นั้นจึงมีพระพุทโธเป็นที่พึ่งที่ระลึกตลอดมา

ด้วยใจที่ผูกพันมั่นคงในสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้ทรงเป็นสมเด็จพระบรมครูทั้งของเทพและมนุษย์ ทรงเป็นที่พึ่งที่แท้จริงของสัตว์โลกทั้งปวง ที่มีบุญมีใจเทิดทูนมั่นคงในพระองค์ท่าน เช่นญาติโยมผู้นั้น

ที่กล่าว่าตั้งแต่ได้พบพระพุทธปฏิหาริย์ ได้รอดพ้นจากความตายในวันนั้นแล้ว ไม่เคยมีใจพ้นจากพระพุทโธเลย

วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ทิ้งกระจาดวิญญาณ' เล่าขานตำนานฮัลโลวีนจีน


สำหรับคนจีนหรือคนเชื้อสายจีน จะรู้กันเป็นอย่างดีว่า ในหนึ่งปีจะมีงานไหว้ใหญ่ๆ อยู่ 8 งาน และ 1 ใน 8 งานนั้นก็คือ 'วันสารทจีน' ซึ่งจะไหว้ในวันที่ 15 เดือน 7 ตามปฏิทินจีน ซึ่งในปี 2551 นี้ ตรงกับวันที่ 15 เดือนสิงหาคม พอดี โดยคนจีนเชื่อว่าในเดือน 7 ตั้งแต่วันที่ 1 เดือน 7 ประตูนรกจะเปิดเพื่อให้วิญญาณในนรกขึ้นมารับของเซ่นไหว้ได้ และประตูนรกนี้จะปิดในวันสิ้นเดือน 7 ตามปฏิทินจีน

มีตำนานที่เล่าขานต่อกันมาหลายตำนานเกี่ยวกับเทศกาลสารทจีน อาทิ เทพเจ้าแห่งดิน หรือเจ้าดิน เช็งฮือไต้ตี่ จะทำบัญชีชำระวิญญาณ เพื่อส่งวิญญาณที่ทำดีมากๆ ขึ้นสวรรค์ ส่วนวิญญาณที่ทำบาปก็ต้องตกนรกรับโทษ แต่ท่านก็ยังมีเมตตาอนุญาตให้พวกวิญญาณในนรกขึ้นมารับของเซ่นไหว้ในช่วงเดือนนี้ได้

บางตำนานเล่าว่าสามีภรรยาคู่หนึ่งมีลูกชายซึ่งได้บวชเป็นพระในพุทธศาสนา ต่อมาบิดาได้บำเพ็ญเพียรบรรลุมรรคผลสู่สวรรค์ แต่มารดาได้ทำกรรมละเมิดศีลลบหลู่ศาสนา เมื่อตายแล้วจึงตกสู่นรกภูมิ ซึ่งขณะนั้นลูกชายได้บำเพ็ญเพียรจนได้อภิญญา 6 เห็นมารดาของตนตกอยู่ในเปรตภูมิ ด้วยความกตัญญูจึงใช้อิทธิฤทธิ์ส่งอาหารไปให้มารดากิน แต่ได้ถูกบรรดาภูตผีที่อดอยากรุมแย่งไปกินหมด และเม็ดข้าวสุกที่ป้อนนั้นกลับเป็นไฟเผาไหม้ริมฝีปากของมารดาจนพอง

ด้วยความกตัญญูและสงสารมารดา บุตรชายจึงได้ทูลขอพญามัจจุราชรับโทษแทนมารดาทั้งหมด แต่ก่อนที่บุตรชายจะต้องรับโทษ พระพุทธเจ้าได้เสด็จลงมาโปรด โดยกล่าวว่า กรรมใดใครก่อก็ย่อมเป็นกรรมของผู้นั้น พร้อมทั้งกล่าวว่าการจะช่วยมารดาที่มีกรรมหนัก ลำพังบุตรชายเพียงคนเดียวไม่พอ ต้องอาศัยแรงกุศลของเหล่าสงฆ์ทุกสารทิศ และจัดเตรียมผลไม้ถวายแด่ผู้ทรงศีลและแผ่กุศลให้มารดาในวันที่ 15 เดือน 7 เดือนที่ประตูนรกจะเปิดจึงจะสามารถช่วยมารดาของเขาให้พ้นโทษได้ ตั้งแต่นั้นมา ทุกปีวันที่ 15 เดือน 7 ของจีน จึงถือเป็นเทศกาลวันสารท ชาวจีนทุกครัวเรือนจะจัดอาหารเซ่นไหว้บรรพบุรุษและวิญญาณไร้ญาติทั้งหลาย

โดยในวันสารทจีนในช่วงเช้าจะมีการเซ่นไหว้เจ้าที่ก่อน ด้วยของเซ่นไหว้ อาทิ อาหารคาวหวาน ขนมเข่ง ขนมเทียน ขนมถ้วยฟู ขนมกุยช่าย ผลไม้ น้ำชา เหล้าจีน กระดาษเงินกระดาษทอง และธูปเทียน แล้วจึงเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ซึ่งจะมีของไหว้คล้ายกับไหว้เจ้าที่ แต่จะมีลักษณะพิเศษคือสำรับอาหารที่เป็นสิ่งมีชีวิต 5 อย่าง (อู่เซิง/ภาษาแต้จิ๋วเรียก โหงวแซ) นิยมใช้เนื้อหมู ไก่ เป็ด ปลา และไข่ไก่ หรือ 3 อย่าง เรียกว่า ซันเซิง (ภาษาแต้จิ๋ว เรียกว่า ซาแซ) ถ้าตามประเพณีดั้งเดิมจะใช้เนื้อวัว เนื้อหมู และเนื้อแพะ นอกนั้น จะมีข้าวสวย และมักมีน้ำแกงด้วย ส่วน ขนมเข่ง ขนมเทียน ผลไม้ และกระดาษเงินกระดาษทองก็ยังเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการเซ่นไหว้

และนอกจากการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว ชาวจีนก็ได้ถือโอกาสเดือนที่ประตูนรกเปิดนี้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรดาภูตผีไม่มีญาติไปด้วย โดยเรียกประเพณีนี้ว่า 'ทิ้งกระจาดวิญญาณ' ซึ่งจะจัดร่วมอยู่ในเดือน 7 นี้เช่นกัน

พิธีทิ้งกระจาด คือการทำบุญอุทิศให้ดวงวิญญาณร่วมไปกับการแจกทานให้ผู้มีชีวิตที่ยากไร้ งานทิ้งกระจาดจึงต้องทำทั้งสองส่วน ทำบุญกันในศาลเจ้าก่อน แล้วจึงมาแจกของให้คนยากคนจน จิตรา ก่อนันทเกียรติ นักเขียนและผู้เชี่ยวชาญเรื่องจีน เล่าว่า ประเพณีทิ้งกระจาดนี้ ทางศาลเจ้าต่างๆ จะกำหนดวันใดวันหนึ่งในช่วงเทศกาลสารทจีน แต่มักจะกำหนดวันในช่วงปลายเทศกาล โดยเป็นการไหว้ด้วยของไหว้ต่างๆ พร้อมทำบุญทิ้งทานคนจนแล้วอุทิศกุศลผลบุญทั้งหมดแก่ทุกดวงวิญญาณโดยไม่เลือกว่าใครเป็นใคร ไม่เฉพาะเจาะจง

และในวันทิ้งกระจาดจะมีภูตผีดวงวิญญาณมากมายมารับของไหว้ ซึ่งอาจจะมีเรื่องชุลมุนกันในหมู่ภูตผี ศาลเจ้าจึงมักมีการตั้งไหว้องค์พญายมเป็นพิเศษเพื่อขอบคุณที่ท่านมาช่วยจัดระเบียบดูแลเหล่าภูตผีให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และในขณะการแจกทานแก่ดวงวิญญาณทั้งหลาย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็อาจจะอยากมีมือมาช่วยแจกมากๆ ทางศาลเจ้าจึงมีการไหว้ซาลาเปามือเป็นถาดใหญ่ๆ เพื่อเป็นมือที่ช่วยเทพเจ้าแจกทาน เรียกว่า ซาลาเปาฮุดชิ่ว หรือ ซาลาเปามือพระพุทธ

จิตรา กล่าวว่า “นอกจากจะไหว้เจ้าที่ พ่อแม่บรรพบุรุษแล้ว ยังไหว้ผีไม่มีญาติด้วย คือไหว้ทำบุญ ไหว้ทำทาน นอกจากจะไหว้ผีไม่มีญาติที่หน้าบ้านตนเองตลอดเดือน ยังมาไหว้ที่ศาลเจ้าเพื่อทำบุญ โดยใช้ของไหว้พวกข้าวสารอาหารแห้ง ซึ่งเป็นการทิ้งทานให้คนยากคนจน เพื่อส่งกุศลผลบุญอันนี้ไปให้ภูตผีไม่มีญาติอีกต่อหนึ่งด้วย ดังนั้น ประเพณีทิ้งกระจาดจึงเป็นเหมือนเทศกาลแบ่งปันน้ำใจซึ่งกันและกัน”

จุดประสงค์หนึ่งของวันสารทจีนก็เพื่อเซ่นไหว้พวกผีไร้ญาติ ให้พวกเขาได้รับรู้ถึงความอบอุ่นและมิตรไมตรีของเหล่ามนุษย์ ซึ่งถือเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนแล้ว ยังเป็นการให้ทานคนจน หรือผู้ที่กำลังต้องการความช่วยเหลือ โดยทำบุญบริจาคข้าวสาร อาหารแห้ง หมวก กระดาษ เส้นหมี่ จึงถือได้ว่าประเพณีทิ้งกระจาดเป็นประเพณีแห่งการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แบ่งปันน้ำใจให้แก่กันและกันในสังคม

จิตรายังเล่าเสริมอีกว่า ในสมัยก่อนที่ตนเคยมาทำบุญทิ้งกระจาดจะเห็นแต่หมวกเหมือนหมวกทำนา กว้างหน่อยก็หมวกกันฝน ข้าวสาร และยังนิยมทำบุญโรงศพ ผ้าดิบห่อศพ เพราะคนตายไม่มีญาติเยอะ หลังๆ มีการตลาดเข้ามา ไหว้ข้าวสารอย่างเดียวชักจะเบื่อ เลยมีไหว้มาม่า วุ้นเส้น เส้นหมี่ น้ำดื่ม ยารักษาโรค เพิ่มขึ้นมาด้วย

ในวันประเพณีทิ้งกระจาด ที่แล้วแต่ทางศาลเจ้าแต่ละแห่งจะกำหนดภายในเดือน 7 นี้ ทางศาลเจ้าจะนำข้าวสาร อาหารแห้ง และของใช้ต่างๆ ที่ผู้คนได้นำมาทำบุญที่ศาลมาแจกจ่ายให้กับคนยากคนจน โดยแต่ละศาลเจ้าก็จะมีเงื่อนไขแตกต่างกันไป เช่น บางศาลเจ้าต้องนำบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านมาลงทะเบียนตามวันเวลาที่กำหนด เป็นต้น

โดยศาลเจ้าที่ผู้คนมักจะนิยมมาร่วมทำบุญทำทานและร่วมรับบุญรับทานก็คือที่ 'ศาลเจ้าไต้ฮงกง' ถนนพลับพลาไชย เพราะเชื่อว่าท่านไต้ฮงกงเป็นพระผู้มีความเมตตากรุณา และเป็นผู้ริเริ่มบำเพ็ญกุศลในการจัดฌาปนกิจศพไร้ญาติสมัยราชวงศ์ซ้องเมื่อเกือบพันปีล่วงมาแล้ว ในเวลาต่อมาได้จัดตั้งคณะเก็บศพไต้ฮงกง เพื่อทำการเก็บและจัดการงานศพอนาถา ต่อมาเปลี่ยนชื่อคณะเป็น 'มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง'

ผู้คนจึงนิยมมาทำบุญทิ้งกระจาดกันที่ศาลเจ้าไต้ฮงกง เนื่องจากการทำบุญทิ้งกระจาดมีความครบถ้วนทั้งการทำบุญและให้ทาน เป็นอีกรูปธรรมหนึ่งที่สอดคล้องกับจริยวัตรของท่านไต้ฮงกง ซึ่งจะช่วยเหลือทั้งผู้ยากไร้ที่ตายอย่างไร้ญาติและผู้ที่ยังต้องสู้ชีวิตความยากจนต่อไป

ดังนั้น งานประเพณีทิ้งกระจาดจึงเป็นประเพณีที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนา เพื่อสร้างความเอื้ออาทรกันในหมู่สมาชิกของสังคมส่วนใหญ่ โดยถือว่าการทำบุญให้ทานนี้เป็นเครื่องลดความเห็นแก่ตัวลง

ในย่านคนจีนเยาวราช ก็จะคึกคักขึ้นในช่วงของงานเทศกาลจีนต่างๆ ซึ่งไม่ใช่แค่เทศกาลสารทจีนเท่านั้น ในทุกเทศกาลของจีนมักจะมีกระดาษเงินกระดาษทอง รวมถึงเป็ด ไก่ เป็นของเซ่นไหว้อยู่เสมอ จิตราเล่าว่า ในสมัยก่อนผู้คนจะมาซื้อหากระดาษเงินกระดาษทองที่ 'ตรอกกระดาษเงินกระดาษทอง' หรือ ซอยเจริญกรุง 21 กันเป็นจำนวนมาก เพราะที่นี่ถือเป็นแหล่งซื้อขายกระดาษเงินกระดาษทองที่ใหญ่ที่สุด แม้ปัจจุบันตรอกกระดาษเงินกระดาษทองจะไม่เป็นที่นิยมเท่าแต่ก่อน เนื่องจากการขยายตัวของสังคม แต่ก็ยังคงเป็นแหล่งค้าส่งกระดาษเงินกระดาษทองที่มีลมหายใจ

รวมถึง 'ตรอกเชือดเป็ดเชือดไก่' หรือชื่อทางการว่า ถนนมังกร ก็เคยมีอดีตที่คึกคักพลุกพล่านไปด้วยผู้คนในช่วงเทศกาลจีนต่างๆ ร้านค้าจะนำเป็ดไก่ที่ยังเป็นๆ มาเชือดเพื่อค้าขายในเทศกาลเซ่นไหว้ต่างๆ แต่ด้วยสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ในปัจจุบันตรอกเชือดเป็ดเชือดไก่เหลือร้านค้าเป็ดไก่อยู่ไม่กี่ร้านเท่านั้น

แม้สภาพสังคมจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ลูกหลานชาวจีนก็ยังคงดำรงไว้ซึ่งประเพณี ความเชื่อ ของพวกเขา แม้จะมีการดัดแปลงไปบ้าง ก็เชื่อว่าประเพณีสารทจีน และประเพณีเทกระจาด ในเดือน 7 นี้ จะคงอยู่สืบไป

เมียยันเอง"ยอดรัก"เฮี้ยน-กลับมาอยู่ที่บ้าน


เมียยันเองมีคนในบ้านเห็นกับตา "ผียอดรัก" มาปรากฏตัวที่บ้าน เตรียมเรียกให้มาอยู่ด้วยกันเผยก่อนตายเจ้าตัวเคยบอกไว้ตายแล้วจะไม่ไปไหนไกล จะมาล่องลอยดูคนโน้นคนนี้ ทางด้านแฟนเพลงยิ่งใกล้วันหวยออกยิ่งวุ่น ปีนป่ายหลังโลงศพ"ยอดรัก สลักใจ" พยายามขูดหาเลขเด็ดไปแทง ขณะที่เมินลอตเตอรี่เลขอื่นที่เหลือบานเบอะ หลังจากเลข 52 อายุของยอดรักถูกซื้อไปเกลี้ยงแล้ว เผยนับร้อยคนมานอนเฝ้าศพบนศาลา พอเช้าตรู่คนก็ทะลักเข้ามาแล้ว จนวัดไร่ขิงคับแคบถนัดตา ทางด้านลูกชายยอดลูกทุ่งนำตร.ลุยเอง ไล่จับแผงขายซีดีเถื่อนเพลงของพ่อ จับตักเตือนแล้วปล่อยตัวไป "เสรี รุ่งสว่าง"จับไม้สั้นไม้ยาว แบ่งงานให้ช่าง 2 คน รับไปหล่อรูปยอดรัก ตัวหนึ่งจะเอาไปไว้ที่พิจิตร อีกตัวไว้ที่วัดไร่ขิง
คนนับร้อยนอนเฝ้าศพยอดรัก เมื่อวันที่ 12 ส.ค. ที่ศาลาอเนกประสงค์ วัดไร่ขิง จ.นครปฐม สถานที่บำเพ็ญกุศลศพนายนิพนธ์ ไพรวัลย์ หรือ "แอ๊ว"ยอดรัก สลักใจ ขุนพลเพลงลูกทุ่งผู้ยิ่งใหญ่ เป็นวันที่ 4 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีประชาชนและแฟนเพลงทยอยเดินทางมาตั้งแต่ก่อน 6 โมงเช้า โดยมีกว่า 100 คนปักหลักนั่งและนอนพักค้างอยู่บนศาลาวัด และนอนเฝ้าโลงศพยอดรัก สลักใจ ตลอดทั้งคืน เนื่องจากเดินทางมาจากต่างจังหวัดไกลๆ ไม่สามารถเดินทางกลับได้ จึงอาศัยศาลาวัดนอนชั่วคราว
กระทั่งเวลาประมาณ 08.00 น. เจ้าหน้าที่วัดเปิดจําหน่ายแผ่นซีดีเพลงยอดรักทั้ง 3 ชุดตามปกติ มีประชาชนเบียดเสียดกันแย่งซื้ออย่างชุลมุนกว่า 2,000 คน บางคนถึงกับปีนรั้วซื้อ จนเจ้าหน้าที่ต้องหยุดจําหน่ายซีดีชั่วคราว เพราะเกรงเกิดจลาจล ก่อนจะจัดระเบียบใหม่โดยให้เข้าแถว เพื่อให้ได้ทั่วถึงทุกคน และวันนี้ทางวัดประกาศให้ทราบว่าจะหยุดสวดพระอภิธรรมศพขุนพลเพลงลูกทุ่ง 1 วัน เนื่องจากเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ วุ่นหนักปีนขูดโลงหาเลขเด็ด
ในส่วนของลอตเตอรี่ พ่อค้าแม่ค้าหลายคนถึงกับบ่นว่าประชาชนไม่ซื้อเลขอื่น นอกจาก 52 เลขอายุของยอดรักเท่านั้น ทําให้เลขตัวอื่นๆ เหลือจํานวนมาก ทั้งๆ ที่ใกล้จะถึงวันออกรางวัลแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า ช่วงเวลาดังกล่าวมีประชาชนบางส่วนที่เข้ามากราบไหว้ศพยอดรักบริเวณด้านหน้าที่ตั้งโลงศพ พบว่าบริเวณด้านหลังโลงมีประชาชนนับ 100 คน อาศัยช่วงที่เจ้าหน้าที่เผลอปีนขึ้นไปบนโต๊ะที่ตั้งโลงศพยอดรัก ก่อนนําดอกไม้มาทําพิธีกราบไหว้ และเคาะโลง บางคนใช้นิ้วขูดขีดบริเวณฝาโลงคาดว่าน่าจะหาเลขเด็ด จนเจ้าหน้าที่ต้องไล่ลงมาและให้ไปกราบไหว้ตรงจุดที่จัดไว้ให้ด้านหน้าเท่านั้นอย่างไรก็ตามวันนี้เส้นทางมายังวัด ไร่ขิงมีปัญหาการจราจรติดขัดมาก เนื่องจากเป็นวันหยุดและประชาชนจํานวนมากต้องการมากราบไหว้ศพของยอดรัก และเที่ยวงานเทศกาลมะพร้าวน้ำหอม ที่ทาง จ.นครปฐม จัดขึ้นประจําทุกปี ระหว่างวันที่ 9-15 ส.ค. ต้องใช้เวลาเดินทางจาก ถ.พุทธมณฑล สาย 5 นานหลายชั่วโมงกว่าจะถึงวัดไร่ขิง กระทั่งเวลาประมาณ 14.00 น.บริเวณวัดไร่ขิงเกิดฝนตกฟ้าคะนองลงมาอย่างหนัก ประชาชนจํา นวนมากต่างกรูกันเข้ามาหลบฝนอยู่ภายในศาลาวัด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเวลาประมาณ 16.00 น.ที่ผ่านมา นางลัดดา และนายเกรียงศักดิ์ ไพรวัลย์ ภรรยา และบุตรชายของยอดรักได้เดินทางมาถึงวัดไร่ขิงโดยนายเกรียงศักดิ์เปิดเผยถึงข้อสรุปในการจัดสร้างรูปหล่อขนาดเท่าตัวจริงของยอดรัก ซึ่งเป็นบิดาว่า หลังจากที่มีผู้เสนอจะดําเนินการจัดสร้างรูปหล่อของบิดาให้ถึง 2 ราย คือ นายพรหม จันทรางกูล เจ้าของโรงงานหล่อใน จ.นครปฐม และนายประยูร นันลา เจ้าของโรงหล่อ จ.สุพรรณบุรี ทางเราได้ให้โรงหล่อทั้ง 2 รายนี้จับไม้สั้นไม้ยาว กระทั่งได้ข้อสรุป คือ ช่างพรหม จะหล่อแล้วนําไปตั้งที่วัดหาดแตงโม อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร ส่วนช่างประยูร จะตั้งไว้ที่วัดไร่ขิงแห่งนี้ อย่างไรก็ตามขณะนี้ช่างอยู่ระหว่างการขึ้นแบบ และอีก 7 วันก็จะเดินทางไปดู ส่วนจะเสร็จสมบูรณ์คาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 2 เดือนนับจากนี้
นายเกรียงศักดิ์กล่าวต่อว่า เมื่อคืนวันที่ 12 ส.ค.ที่ผ่านมา เวลาประมาณตี 3 นางจารุวรรณ ภรรยาตนเองได้ฝันเห็นบิดา มายืนยิ้มอยู่ปลายเตียง มาในชุดเสื้อสีเหลือง ซึ่งตรงกับรูปถ่ายที่ตั้งอยู่หน้าโลงศพพ่อที่วัดไร่ขิงแห่งนี้ ก่อนจะหายไป คาดว่าพ่อจะไปดีไม่ห่วงอะไรแล้ว เวลา 17.30 น. นายเกรียงศักดิ์ได้นําเจ้าหน้าที่ตํารวจ สภ.สามพรานบุกเข้าตรวจสอบและจับกุมร้านค้าจําหน่ายซีดีเถื่อนของยอดรัก ภายในงานเทศกาลมะพร้าวน้ำหอม ที่เปิดขายกันอย่างโจ่งแจ้ง ระหว่างจับกุมปรากฏว่าเจ้าของร้านต่างวิ่งหนีคนละทิศคนละทาง แต่สามารถจับกุมเด็กดูแลร้านได้ 2 คน ก่อนจะตรวจสอบแผ่นซีดี พบว่ามีวางจําหน่ายอยู่กว่า 200 แผ่น ทั้งชุดเพื่อน ชุดเพื่อนช่วยเพื่อน และชุดอะไรก็กู เป็นต้น ซึ่งซีดีที่วางจําหน่ายดังกล่าวเป็นชุดที่กำลังวางจําหน่ายอยู่บริเวณงานของยอดรัก ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากตรวจสอบแล้วทางเจ้าหน้าที่ตํารวจและนายเกรียงศักดิ์ได้ว่ากล่าวตักเตือนเด็กดูแลร้านเท่านั้น และสั่งให้เก็บซีดีเพลงยอดรักทั้งหมดออกจากแผง ก่อนจะปล่อยตัวไป จากนั้นเวลา 18.30 น. เย็นวันเดียวกัน เสรี รุ่งสว่าง นักร้องลูกทุ่งเพื่อนสนิทของยอดรัก ได้เดินทางมาถึงวัดไร่ขิง พร้อมกับเดินตรวจดูความเรียบร้อยบริเวณงาน พร้อมกับถ่ายรูปร่วมกับประชาชนที่มาไหว้ศพอย่างเป็นกันเอง โดยวันนี้งดการสวดพระอภิธรรมศพยอดรัก จะเริ่มสวดอภิธรรมอีกครั้งในวันที่ 13 ส.ค. โดยร.พ. พระราม 9 รับเป็นเจ้าภาพ ทั้งนี้ตามกำหนดเดิมการสวดพระอภิธรรมศพยอดรักในวันดังกล่าว พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี รับเป็นเจ้าภาพ แต่ต้องยกเลิกกลางคัน เนื่องจากพ.ต.ท.ทักษิณขอลี้ภัยไปต่างประเทศแล้วเมียยอดรักพึ่งน้ำเกลือซ้ำอีก
ก่อนหน้านี้ วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวเดินทางไปบ้านเลขที่ 69/359 หมู่บ้านกฤษฎานคร 17 ถ.พุทธมณฑลสาย 3 เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นบ้านของขุนพลเพลงลูกทุ่งชื่อดัง "ยอดรัก สลักใจ" ผู้ล่วงลับ เพื่อเยี่ยมอาการของ "นางลัดดา ไพรวัลย์" หรือ "หนู" ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากของ "แอ๊ว-ยอดรัก" หลังจากที่มีอาการวูบเพราะอ่อนเพลียและความดันสูง จนต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลให้น้ำเกลือที่ร.พ.ธนบุรี 2 เมื่อคืนวันที่ 10 ส.ค.ที่ผ่านมา
เช้านี้ "หนู-ลัดดา" ภรรยาของยอดรักมีอาการดีขึ้น พร้อมทั้งเปิดใจให้สัมภาษณ์ยาวเป็นครั้งแรกต่อผู้สื่อข่าวว่า "คืนนั้นรู้สึกไม่มีแรง รู้สึกมึนหัว เป็นลม ไปนอนอยู่บนกุฏิเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง เจ้าอาวาสท่านก็ให้ทั้งยาหอมยาดม จากนั้นน้าแดง (ผู้จัดการยอดรัก) ก็ได้พาไปส่งที่โรงพยาบาล ไปนอนให้น้ำเกลือ เมื่อคืน (11 ส.ค.) ก็ว่าจะไปฟังพระสวดที่วัด แต่รู้ตัวว่าไปก็ไม่ไหว กลัวจะต้องกลับไปให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาลอีก เมื่อคืนก็เลยนอนพักผ่อนที่บ้าน ไม่ได้ไปวัด"
ถามถึงสาเหตุของอาการวูบ นางลัดดาเผยว่า "อาจเพราะช่วงที่อยู่เฝ้าเขาที่โรงพยาบาลเราได้นอนน้อย เบื่ออาหาร เลยเพลียสะสม ยิ่ง 3 วันหลังแทบจะไม่ได้นอนเลยเพราะเขาอาการหนัก จากที่เราเห็นเขาทรมาน 3 วันสุดท้าย ใจก็อยากให้เขาหลับไป รู้ว่าเขาเจ็บปวดมาก ในวันที่เขาจากไปเราก็ไหว้พระ และบอกกับเขาว่าไม่ต้องห่วงไม่ต้องกังวล อธิษฐานให้คุณพระนำทางเขาไปในทางที่ดี ถ้าเขาไปเกิดใหม่ก็ให้ไปเกิดในที่ที่ดี อย่าได้มีโรคภัยไข้เจ็บติดตามไป ขอให้หมดกรรมกันไปในชาตินี้ ที่เหลือก็เป็นบุญบารมีติดตัวเขาไป"
ยันหลานสาวเห็นผียอดรัก
ต่อข้อถามถึงวันนี้ทำใจได้หรือยังกับการจากไปของสามี นางลัดดากล่าวว่า "ยังทำใจไม่ได้ อยู่ในบ้านก็มีแต่รูปเขา แต่ก็ไม่ได้กลัว เขามาให้น้องๆ เห็น มีหลานสาวลูกของน้องสาวเห็นเขาตั้งแต่คืนที่สอง (10 ส.ค.) ว่ายืนใส่เสื้อสีขาวอยู่ที่ระเบียงห้องนอน และเมื่อคืน (11 ส.ค.) คนในบ้านบอกว่าเหมือนเขามาให้รู้ เห็นมีหัวคนเดินผ่านรั้วหลังบ้าน อาจเพราะยังไม่ได้เรียกเขาเข้าบ้าน ตั้งใจว่าคืนนี้จะเรียกเขาเข้าบ้าน ส่วนเราไม่เห็น อาจจะเพราะเราไม่กลัว ถ้าเขายังไม่ไปก็อยากให้กลับมา"
"ตั้งใจจะทำบุญให้มากที่สุด เพราะคนให้ความช่วยเหลือมาก็เยอะ เราจะได้แผ่ส่วนบุญส่วนกุศลให้กับเขาและคนที่ช่วยเหลืออุดหนุนครอบครัวเราด้วย จากที่เมื่อคืนไม่ได้ไป แต่มีเพื่อนๆ เขามาคุยว่าจะปั้นหุ่นเขาไว้สองที่ ช่างพรหมปั้นตัวหนึ่ง ส่วนของเสรีมีช่างที่สุพรรณบุรีปั้นให้อีกตัวหนึ่ง และเมื่อคืนมีการจับไม้สั้นไม้ยาวกัน สรุปแล้วช่างพรหมจับได้ไม้สั้น หุ่นของเขาจะไปอยู่ที่พิจิตร และช่างพรหมก็เป็นคนที่หล่อหลวงพ่อเงินด้วย ส่วนของพี่เสรีจับได้ไม้ยาว หุ่นเขาเลยอยู่ที่วัดไร่ขิง และมีโครงการกันว่าทุกปีวันที่ 9 ส.ค. ครบรอบวันเสียชีวิตเขาจะทำบุญจัดงานที่วัดไร่ขิง ส่วนวันเกิดเขาก็จะจัดงานที่บ้านตะพานหิน"
"รู้สึกดีใจ เพราะทุกคนทำโดยไม่ได้มาเรียกร้อง อะไรจากเราสักบาท เป็นความเต็มใจที่จะช่วย อย่างช่างพรหมเขาก็ช่วยกับกลุ่มเพื่อนที่สนิทกัน ซึ่งเขาเองก็ได้หล่อหลวงพ่อเงินด้วย ส่วนของพี่เสรีกับคนที่เคยมอบเงินให้ 9 หมื่นบาท เขาก็เสนอทำรูปปั้นให้ฟรี ซึ่งรูปปั้นของเขาจะอยู่ที่วัดไร่ขิง"
พูดไว้ก่อน-ตายแล้วจะไม่ไปไหน
นางลัดดากล่าวแสดงปลาบปลื้มที่มีแฟนเพลงหลั่งไหลมาเคารพศพยอดรักว่า "รู้สึกดีใจ ตื้นตันกับความดีที่เขาทำไว้ คนที่รักเขายังไงก็ยังรักอยู่ และเหมือนว่ายิ่งรักมากขึ้น อาลัยกับการจากไปของเขา เห็นคนที่พูดถึงเขาน้ำตาคลอกันทุกคน ในวันนี้เหมือนกับบารมีของเขามีให้เรากับลูกกับหลาน ก่อนที่เขาจะเสียเขาเคยบอกว่าอย่างอื่นไม่ห่วง เขาห่วงเรื่องบ้าน ซึ่งตอนนี้ซีดีทั้ง 3 ชุด ก็ขายดีทุกวัน ในรายละเอียดคงต้องถามลูกชายเพราะเขาเป็นคนจัดการ จะรู้ยอดอีกทีคงจะเป็นหลังสวด 15 วันไปแล้ว"ต่อข้อถามว่าในตอนนี้มีคนเข้ามาขอลิขสิทธิ์ยอดรักเยอะไหม นางลัดดากล่าวว่า "ส่วนมากเขาจะติดต่อมาทางลูกชาย เราก็ปล่อยให้เขาสองคนกับภรรยาเขาจัดการไป ส่วนเอสแล้วตอนนี้เขาก็เครียดเหมือนกันเพราะงานเยอะ ทั้งเรื่องซีดีและงานที่วัดด้วย กับพี่เสรี รุ่งสว่าง ก็ต้องขอบคุณเขาที่ช่วยจัดการประสานงานที่วัดให้ ทั้งเรื่องของพื้นที่วัดในการจัดงานศพ ดีที่ได้เขาช่วยเหลือ ถ้าเป็นเราเองคงทำไม่ไหว"
ต่อข้อถามรู้สึกอย่างไรที่เสรี รุ่งสว่าง ออกตัวว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอีก นอกจากงานที่ทำคั่งค้าง นางลัดดาเผยว่า "เขาคงเครียดกับข่าว"
ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงเรื่องของการไถ่ถอนบ้าน นางลัดดาเผยว่า "ยังคงจ่ายเหมือนเดิม ส่งเป็นเดือนๆ ไปก่อน ถ้ามีการไถ่บ้านกับธนาคารกรุงเทพ (สาขาภาษีเจริญ) เมื่อไหร่คงต้องดูรายละเอียดกันอีกที ในตอนนี้ยอดที่คงเหลือ 5.1 ล้านบาท ยอดลดลงมาเพราะเราส่งทุกเดือน"คิดว่าพี่แอ๊ว-ยอดรัก หมดห่วงแล้วหรือยัง นางลัดดาเผยว่า "คงหมดห่วง เพราะตอนที่ให้คีโม เขาบอกว่าเขาเกือบตาย เขาเคยพูดว่าถ้าตายไปเขาจะยังไม่ไปไหนหรอก เขาจะมาแกล้งบริวารเล่นๆ จะล่องลอยไปมาดูคนนั้นคนนี้"
เผยไม่เคยโกรธแค้นสายัณห์"ส่วนตัวเราในตอนนี้ก็พยายามทำให้ใจว่าง มีคนถามถึงเรื่องพี่เป้า-สายัณห์ เราก็บอกว่าไม่ได้คิดโกรธแค้น ซึ่งเขาก็อโหสิให้อภัยกันไปแล้ว ก็เป็นเรื่องดีนะ ถ้าพี่เป้า-สายัณห์จะมาร่วมงาน ครอบครัวเราไม่มีปัญหา ยินดี เพราะเราไม่คิดอาฆาต หรือคิดโกรธเคืองใคร ไม่ด่าแช่งใคร ยังไงก็ได้"ทางด้าน "น้องออย"ด.ญ.วรรณพร ไพรวัลย์ หลานสาวของปู่ยอดรัก สลักใจ เผยว่า "ส่วนตัวยังทำใจไม่ได้ การจากไปของปู่รวดเร็วเกินไป ตอนที่อยู่ที่วัดคืนแรกออยบอกกับปู่ว่าอย่ามาแกล้งนะ ออยกลัว ที่กลัวเพราะรู้ว่าปู่เป็นคนขี้เล่น"
ต่อข้อถามมีเพื่อนๆ ให้กำลังใจออยเรื่องที่สูญเสียปู่ยอดรักบ้างไหม น้องออยเผยว่า "มีเพื่อนๆ ให้กำลังใจเต็มเลย เมื่อวาน
(11 ส.ค.) ออยหยุดเรียน เพื่อนๆ ก็จะส่งข้อความผ่านทางโทรศัพท์ หรือเข้ามาในไฮไฟว์ ส่วนคุณครูที่ปรึกษาเข้าใจ ตอนที่ปู่ยังไม่เสียคุณครูบอกว่าตอนนี้เราทำอะไรไม่ได้ เราควรไปให้ปู่เห็น ไปให้กำลังใจปู่ เลิกเรียนออยก็จะรีบไปที่โรงพยาบาล หลังจากที่ปู่จากไปคนที่ออยห่วงคือคุณย่า ย่าชอบบอกว่าไม่ต้องห่วง ไม่ต้องดูเขา เขาอยู่ได้ แต่วันก่อนเพิ่งเข้าโรงพยาบาลให้น้ำเกลือไป ย่าดื้อไม่ยอมทานข้าว "สันติเบียร์สิงห์"ให้เงียบ 1 ล้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า บริเวณตู้ปลาซึ่งเป็นมุมโปรดของยอดรัก สลักใจ มีจดหมายใส่กรอบสีทองตั้งอยู่ จดหมายนี้มีใจความระบุวันที่ 12 มี.ค.2551 ซึ่งเป็นจดหมายของนายสันติ ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอด บริวเวอรี่ จำกัด เขียนถึงยอดรัก สลักใจ ใจความในจดหมายฉบับดังกล่าวมีว่า "เรียนคุณยอดรัก สลักใจ ผมได้ติดตามข่าวของคุณยอดรัก ผ่านทางสื่อต่างๆ ผมรู้สึกประทับใจและขอยกย่องคุณยอดรักเป็นอย่างยิ่ง ที่เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องของการยอมรับความจริง และการต่อสู้อุปสรรคอย่างไม่ย่อท้อ เรื่องราวของคุณยอดรัก แสดงให้เห็นว่าการที่จะฟันฝ่าอุปสรรคไปให้ได้นั้น ไม่เพียงแต่การให้กำลังใจกับตัวเองจะเป็นเรื่องที่สำคัญเท่านั้น แต่การสร้างกำลังใจให้กับคนรอบข้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งครอบครัวก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน ผมขอแสดงความปรารถนาดีมายังคุณยอดรัก และขอให้คุณยอดรักมีสุขภาพที่ดีขึ้นในเร็ววัน พร้อมกันนี้ผมขอมอบเงินจำนวน 1 ล้านบาทให้กับคุณยอดรัก เพื่อใช้จ่ายในการรักษาตามความจำเป็น ขอแสดงความนับถือ สันติ ภิรมย์ภักดี"
ทางด้านนางลัดดา ภรรยาของยอดรัก เปิดเผยเพิ่มเติมว่า "เป็นจดหมายของคุณสันติ ภิรมย์ภักดี ที่เขียนถึงเขา ในครั้งนั้นก็ได้รับมอบเงินช่วยเหลือ ซึ่งทางคุณสันติไม่ต้องการที่จะเป็นข่าว ซึ่งเขาและครอบครัวรู้สึกซาบซึ้งในความกรุณาของคุณสันติ"พัชรวาทอาลัยส.ต.อ.นิพนธ์
พล.ต.ต.เรืองศักดิ์ จริตเอก รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ตระหนักถึงการจากไปของส.ต.อ. นิพนธ์ ไพรวัลย์ หรือยอดรัก สลักใจ นักร้องลูกทุ่งขวัญใจชาวไทยว่าเป็นการสูญเสียบุคคลที่ดีของประเทศชาติ และในอดีตยอดรักเคยรับราชการตำรวจยศสิบตำรวจเอก ในตำแหน่งผบ.หมู่ กก.1 บก.สก. ในยุคพล.ต.อ.พจน์ บุณยะจินดา เป็นอ.ตร. โดยรับหน้าที่เป็นนักร้องนำวงดุริยางค์กรมตำรวจ ซึ่งระหว่างรับราชการ ส.ต.อ.นิพนธ์ ไพรวัลย์ ได้สร้างคุณงามความดีมาโดยตลอด อีกทั้งยังช่วยกิจกรรมจัดตั้งกองทุนสวัสดิการช่วยเหลือตำรวจและครอบครัวและงานตำรวจชุมชนสัมพันธ์หลายโครงการ

ดังนั้นเพื่อเป็นการอาลัยในการจากไปของส.ต.อ. นิพนธ์ พล.ต.อ.พัชรวาทจึงมอบหมายพล.ต.ต.รังสิต พิริยายน ผบก.สก. นำพวงหรีดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปเคารพศพที่ศาลาอเนกประสงค์ วัดไร่ขิง และให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ดูแลรักษาความปลอดภัยภายในงานและอำนวยความสะดวกด้านการจราจรกับประชาชนที่มาร่วมงานอย่างต่อเนื่อง จนกว่างานศพของส.ต.อ.นิพนธ์จะแล้วเสร็จ

สื่อเขมร: มนต์ดำเมียฮุนเซนทำทหารชุดดำตาย 1

ภาพถ่ายวันที่ 2 ส.ค.2551 ทหารชุดดำของไทย 2 นายนี้กำลังซดกาแฟอย่างออกรสในเวลาเช้าตรู่ที่วัด ซึ่งหนังสือพิมพ์มในกัมพูชาอ้างว่า มีทหารเสียชีวิตไป 1 นาย เวลาเช้ามืดวันถัดมาคือวันอาทิตย์ที่ 3 ส.ค. เหตุการ์นี้ทำให้ทหารของไทยหวาดกลัวมาก (ภาพ: AFP)
ผู้จัดการออนไลน์-- สื่อในกัมพูชารายงานว่าทหารชุดดำของไทยคนหนึ่งเสียชีวิตลงในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา และถูกนำศพลงจากเขาพระวิหารส่งกลับภูมิลำเนาเดิมแล้วในวันเดียวกัน เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากสตรีหมายเลข 1 ของกัมพูชานำคณะใหญ่ขึ้นไปทำพิธีบวงสรวงเซ่นไหว้ดวงวิญญาณบรรพบุรุษที่ปราสาทพระวิหาร

ตามรายงานของเกาะสันติภาพ หนังสือพิมพ์รายวันฉบับภาษาอังกฤษที่สนับสนุนรัฐบาลสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโชฮุนเซน การเสียชีวิตของทหารชุดดำรายนี้ได้สร้างความหวาดกลัวให้แก่ทหารไทยคนอื่นๆ ซึ่งเผชิญหน้ากับทหารกัมพูชามาเป็นเวลา 20 วัน ที่วัดแก้วศิขาคีรีสาวรักษ์ (Keo Sekha Kiri Svarak) ใกล้กับปราสาทพระวิหาร

ทหารชุดดำของไทยที่มีชื่อว่า "บุนนาค" (Bun Nak) วัย 44 ปี สังกัดกองพลทหารราบที่ 6 ได้เสียชีวิตลงเมื่อเวลาตี 4 วันอาทิตย์ (3 ส.ค.) โดยไม่ทราบสาเหตุ ต่อมาเวลา 6 นาฬิกาเพื่อนๆ จึงได้นำร่างไร้วิญญาณลงจากเขาไป และ ถูกนำกลับไปยังภูมิลำเนา จ.อุบลราชธานีในเวลาต่อมาเกาะสันติภาพกล่าว

ก่อนหน้านี้ทหารไทยคนหนึ่งเหยียบกับระเบิดจนต้องตัดขาไปข้างหนึ่ง ต่อมาก็เสียชีวิตไปอีกคนหนึ่ง สองเหตุการณ์นี้ทำให้ทหารไทยที่ยังอยู่ในวัด พากันหวาดกลัวอกสั่นขวัญผวา เพราะเชื่อว่าเป็นการกระทำของดวงวิญญาณ "ตาดี " (Ta Dy) นักรบคนกล้าชาวเขมรที่เคยต่อสู้ป้องกันปราสาทพระวิหาร

ท่านผู้หญิงฯ จัดพิธีบวงสรวงใหญ่โตที่ปราสาทพระวิหารวันศุกร์ที่แล้ว มีผู้เข้าร่วมกว่า 1,000 คน (ภาพ: Reuters)
วันศุกร์ (1 ส.ค.) ที่ผ่านมาท่านผู้หญิงบุนรานีฮุนเซน (Lok Chum Teav Bun Rani Hun Sen) ได้เดินทางยังปราสาทพระวิหารโดยเฮลิคอปเตอร์ ทำพิธีบวงสรวงดวงวิญญาณบรรพบุรุษให้ช่วยปกป้องคุ้มครองปราสาทพระวิหารและคุ้มครองทหารที่ประจำการที่นั่น

หนังสือพิมพ์เกาะสันติภาพได้อ้างรายงานของหนังสือพิมพ์ในประเทศไทยที่ว่า นอกจากจะทำพิธีบวงสรวงเสริมดวงเมืองให้แก่กัมพูชาแล้ว ภริยานายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้ทำพิธีร่ายมนต์ดำข่มขวัญประเทศไทยไปพร้อมๆ กัน โดยพระสังฆราชแห่งกัมพูชาที่มีความชำนาญในเรื่องนี้ และมีผู้เข้าร่วมพิธีกว่า 1,000 คน